ไข้หวัด เป็นลักษณะของการป่วยที่พบได้มาก ในคนทุกเพศทุกวัย ก็เลยไม่แปลกที่ในตลาดจะมียาแก้หวัดให้เลือกใช้หลายประเภทและก็แบรนด์ ซึ่งแม้ว่าจะมองเป็นการดีที่มีตัวเลือกไม่น้อยเลยทีเดียว แม้กระนั้นหลายท่านกลับไม่รู้จักว่ายาแก้หวัดจำพวกใดเหมาะสมกับลักษณะของตนเอง รวมทั้งไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ และก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่ำที่สุด
ไข้หวัด มีสาเหตุจากการได้รับเชื้อเชื้อไวรัสในระบบฟุตบาทหายใจส่วนบน อย่างจมูก ปาก รวมทั้งคอ ซึ่งเชื้อไวรัสต้นสายปลายเหตุนั้นมีอยู่หลายประเภท แม้กระนั้นเชื้อที่พบได้มากก็คือ ไรโนเชื้อไวรัส (Rhinoviruses) โดยมักก่อเกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ จาม เป็นไข้ต่ำ ป่วยตัว อาจมีปวดกล้ามหรือปวดหัวบางส่วน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ส่วนมากโรคนี้จะไม่อันตรายถึงตาย คนป่วยมักหายได้เองด้านใน 1–2 อาทิตย์คร่าวๆ เพียงดูแลตนเองด้วยการกินน้ำให้มากมาย ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ หรือพักให้พอเพียงอยู่ตลอด
มีกี่ประเภท
ยาแก้หวัด ตามร้านขายยาทั่วๆไปจะย้ำทุเลาอาการหวัดที่เกิดขึ้น เพื่อร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นรวมทั้งสามารถพักให้ได้มากที่สุด โดยแบ่งได้หลายกรุ๊ปยาร่วมกัน อาทิเช่น
1.ยาแก้แพ้ คนไม่ใช่น้อยบางทีอาจสงสัยว่าเพราะอะไรจำต้องกินยาแก้แพ้เมื่อเป็นหวัด อันที่จริงแล้วเมื่อติดเชื้อโรคหวัด ร่างกายจะสนองตอบต่อเชื้อโรคหรือสิ่งเจือปนที่เข้ามาด้วยการหลั่งสารฮีสตามีน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการจาม น้ำมูกไหล ไอ คันตา หรือน้ำตาไหล เพื่อป้องกันรวมทั้งกำจัดเชื้อโรคให้ออกไปจากร่างกาย
สำหรับยาแก้แพ้ มีอีกชื่อเรียกว่า ยาต่อต้านฮีสตามีน (Antihistamines) เป็นยาช่วยยั้งการหลั่งสารเคมีที่ทำให้อาการต่างๆของหวัดดียิ่งขึ้น โดยในตอนนี้ ยาแก้แพ้มีอีกทั้งกรุ๊ปที่ทำให้ง่วงหงาวหาวนอน อย่างยาบรอมเฟนิรามีน (Brompheniramine) หรือยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ซึ่งจะช่วยลดน้ำมูกในระบบฟุตบาทหายใจก้าวหน้า แต่ว่าไม่สมควรใช้ในเด็กตัวเล็กๆ แล้วก็กรุ๊ปที่ไม่ทำให้ง่วงงุน อย่างยาเซทิริซีน (Cetirizine) หรือยาลอราทาดีน (Loratadine) แต่ว่ามักไม่ลดน้ำมูกในหวัดเท่าไรนัก คนป่วยจะต้องเลือกใช้ให้สมควร
2.ยาแก้ไอ ยาแก้ไอแบ่งได้เป็น 2 กรุ๊ปหลัก เป็นต้นว่า ยารักษาไอไม่มีเสลดหรือไอแห้ง แล้วก็ยารักษาไอมีเสลด ซึ่งคนเจ็บจำเป็นที่จะต้องเลือกให้ถูกกับลักษณะของตนเอง ก็เลยจะหายได้เร็วขึ้น คนที่ไอแห้งจะเหมาะสมกับยาแก้ไอจำพวกยับยั้งอาการไอหรือยากดอาการไอ (Cough Suppressants) อย่างยาเด็กซ์โทรเมโทอร์แฟน (Dextromethorphan) จะออกฤทธิ์กดระบบประสาทศูนย์กลางที่สนองตอบต่อการไอ ทำให้ไอลดลง ไม่ก่อกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือการนอนในช่วงเวลาค่ำคืน
ส่วนคนที่ไอมีเสมหะ ควรที่จะใช้ยาขับเสลด (Expectorants) อย่างยาแกว่งอะเฟนิสิน (Guaifenesin) ที่ออกฤทธิ์เพิ่มของเหลวในระบบฟุตบาทหายใจ ช่วยทำให้ความเหนียวข้นของเสลดลดลง ทำให้ไอเอาเสลดออกมาได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงแรกอาจมีจำนวนเสลดมากขึ้นรวมทั้งไอมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระนั้นเมื่อไอเอาเสลดออกมาหมดแล้ว อาการไอจะลดลง
3.ยาแก้ปวด ยาพาราเซตามอลแล้วก็ยาไอบูโพรเฟนเป็นตัวคุณยายอดนิยมที่ช่วยลดไข้และก็ทุเลาลักษณะของการปวดต่างๆจากหวัด ไม่ว่าจะเป็นปวดกล้าม ปวดหัว ปวดหู หรือเจ็บคอ แต่คนไข้ควรจะใช้ยาในจำนวนแล้วก็ช่วงเวลาที่ระบุบนฉลากบรรจุภัณฑ์ยา เพื่อปกป้องการใช้ยาเกินขนาดรวมทั้งการใช้ยาติดต่อกันนาน ช่วยลดการเสี่ยงของการเกิดผลกระทบหรืออันตรายต่อตับแล้วก็ไต
เว้นแต่ยาในข้างต้น ยังมียาแก้คัดจมูกที่สั่งจ่ายโดยหมอ ซึ่งจะออกฤทธิ์ลดการขยายตัวของเส้นเลือดในเยื่อบุโพรงจมูก ลดอาการบวมในจมูกเพื่อทุเลาอาการคัดจมูก รวมทั้งช่วยทำให้หายใจสบายขึ้น ตัวยาหลักของยาแก้คัดจมูกก็ได้แก่ ยาซูโดอีเฟดรีน (Pseudoephedrine) และก็ยาออกซีเมตาโซลีน (Oxymetazoline) ซึ่งจะมีแบบอย่างยา จำนวนการใช้ยา รวมทั้งช่วงเวลาสำหรับเพื่อการใช้ยาไม่เหมือนกันไปดังที่หมอเสนอแนะ
คำเตือนก่อนใช้ยาแก้หวัด
สำหรับ ยาแก้หวัด บางจำพวกอาจมีส่วนประกอบจากหลายกรุ๊ปยาเข้าด้วยกัน เช่น ยาแก้คัดจมูก ยาแก้แพ้ แล้วก็ยาพาราเซตามอล คนเจ็บหรือผู้ดูแลควรจะวิเคราะห์ยาแต่ละตัวอย่างละเอียดก่อนที่จะมีการใช้ยา เพื่อคุ้มครองการใช้ยาซ้ำไปซ้ำมา ทำให้คนไข้ใช้ยามากเหลือเกินโดยไม่ทันรู้ตัวจนถึงอาจจะเป็นผลให้เป็นผลใกล้กันแล้วก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายและก็การใช้ชีวิตได้
เหมือนกันนี้ ยาบางประเภทยังไม่อนุญาตให้ใช้ในเด็กบางช่วงอายุหรือคนที่มีโรคประจำตัวบางประการ เพราะเหตุว่าบางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ การอ่านสลากยาหรือหารือเภสัชกรก่อนเสมอก็เลยเป็นขั้นตอนสำคัญที่สามารถจะช่วยให้คนเจ็บไม่เป็นอันตรายรวมทั้งหายดีไปพร้อมเพียงกัน
นอกเหนือจากนั้น คนไข้ไม่สมควรหาซื้อยายาปฏิชีวนะอย่างยาอะม็อกซี่สิลลิน (Amoxicillin) มารับประทานเอง เนื่องด้วยยาจำพวกนี้มีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียเพียงแค่นั้น ไม่อาจจะทำลายเชื้อเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุหลักของหวัดได้ ซึ่งการใช้ยาโดยไม่จำเป็นเป็นประจำอาจส่งผลให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ในอนาคต