เมโสแฟตเป็นการฉีดสารละลายที่มีฤทธิ์สลายไขมันโดยตรงเข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการลด ตัวยาหลักที่ใช้มักจะเป็น Phosphatidylcholine และ Deoxycholic Acid ซึ่งมีคุณสมบัติในการทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวและสลายเป็นของเหลว จากนั้นไขมันที่สลายตัวแล้วจะถูกร่างกายดูดซึมเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและขับออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติผ่านระบบขับถ่าย
นอกจากสารสลายไขมันแล้ว ในตัวยาเมโสแฟตบางชนิดอาจมีส่วนผสมของวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารสกัดจากพืชบางชนิดที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ลดการสร้างไตรกลีเซอไรด์ และช่วยบำรุงผิวให้กระชับขึ้นหลังไขมันลดลง
บริเวณที่นิยมฉีดเมโสแฟต:
ใบหน้า: แก้ม เหนียงใต้คาง (Double Chin) กรอบหน้า
ลำตัว: ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก เอว น่อง
ข้อดีของเมโสแฟต:
ลดไขมันเฉพาะจุด: สามารถลดไขมันในบริเวณที่ลดยากด้วยการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว
ไม่ต้องผ่าตัด: เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีรอยแผลเป็นและไม่ต้องพักฟื้นนาน
เห็นผลค่อนข้างเร็ว: มักจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 1-3 สัปดาห์หลังการฉีด และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มักจะแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 7-10 วัน
ใช้เวลาในการทำไม่นาน: โดยปกติจะใช้เวลาไม่กี่นาทีต่อครั้ง
ช่วยกระชับสัดส่วน: บางสูตรยาอาจมีส่วนผสมที่ช่วยให้ผิวมีความกระชับขึ้นหลังไขมันลดลง
ข้อควรระวังและข้อจำกัด:
ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักโดยรวม: เมโสแฟตเป็นการลดไขมันเฉพาะจุด ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักทั้งตัวอย่างถาวร หากต้องการลดน้ำหนักโดยรวมยังคงต้องพึ่งการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ผลลัพธ์ไม่ถาวร: หากพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตไม่เปลี่ยน ไขมันก็สามารถกลับมาสะสมใหม่ได้ ดังนั้นการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการคงผลลัพธ์
อาจมีผลข้างเคียง: หลังฉีดอาจมีอาการบวมแดง ช้ำเล็กน้อย หรือรู้สึกเจ็บปวดบ้าง ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ: การฉีดเมโสแฟตควรทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกายวิภาคและเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี
คุณภาพของตัวยา: ควรเลือกคลินิกที่ใช้ตัวยาเมโสแฟตที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง และมีแหล่งที่มาชัดเจน
เมโสแฟตเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมเฉพาะจุดอย่างรวดเร็วและไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ควรทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง