การบำบัดด้วยการดูดเสมหะเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยและไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยในการจัดการกับโรคอ้วน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการลดน้ำหนักแบบดั้งเดิมที่ต้องอาศัยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือยาเพียงอย่างเดียว การบำบัดด้วยการดูดเสมหะเป็นวิธีการทางกลเฉพาะที่ช่วยลดปริมาณแคลอรีที่บริโภคโดยการนำอาหารบางส่วนออกจากกระเพาะอาหารหลังรับประทานอาหาร
Aspiration Therapy (แอสไพเรชัน เทอราพี)เป็นเทคโนโลยีลดน้ำหนักที่ใช้หลักการ ลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายดูดซึม โดยการนำอาหารบางส่วนออกจากกระเพาะอาหารหลังมื้ออาหาร
การบำบัดด้วยการดูดสารเข้าไปในกระเพาะอาหารนั้นเกี่ยวข้องกับการสอดท่อขนาดเล็กที่เรียกว่า A-Tube เข้าไปในกระเพาะอาหารผ่านขั้นตอนการส่องกล้องผู้ป่วยนอกแบบสั้น ท่อจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาที่มองไม่เห็นซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูดหรือระบายเนื้อหาในกระเพาะอาหารได้ประมาณ 30% ลงในภาชนะเก็บที่ออกแบบมาเป็นพิเศษภายใน 20 ถึง 30 นาทีหลังรับประทานอาหาร กระบวนการนี้จะช่วยลดจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายดูดซึมได้อย่างมาก
หลักการทำงาน:
การติดตั้งท่อ : แพทย์จะทำการผ่าตัดเล็ก ๆ โดยใช้กล้องส่องตรวจ เพื่อสอดท่อขนาดเล็ก ผ่านผนังหน้าท้องเข้าไปในกระเพาะอาหาร
การเชื่อมต่ออุปกรณ์: ปลายท่อที่อยู่ด้านนอกร่างกายจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า AspireAssist
การดูดอาหารออก: ประมาณ 20-30 นาทีหลังรับประทานอาหาร ผู้ป่วยสามารถต่ออุปกรณ์ AspireAssist เข้ากับท่อ และทำการ “ล้าง” หรือดูดอาหารบางส่วนที่ยังไม่ถูกย่อยออกจากกระเพาะอาหารลงในห้องน้ำ
วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายจะได้รับจากการย่อยอาหาร ทำให้ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้ โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้สามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 15-20% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น และอุปกรณ์นี้ได้รับการรับรองสำหรับการใช้งานในระยะยาว
ใครที่เหมาะสมกับ Aspiration Therapy?
Aspiration Therapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 กก./ตร.ม. และต้องการทางเลือกในการลดน้ำหนักที่รุกรานน้อยกว่าการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารและผู้ที่มีแรงจูงใจสูงในการดูแลตนเอง
ข้อดีของ Aspiration Therapy:
รุกรานน้อย : เป็นการรักษาที่รุกรานน้อยกว่าการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ใช้เวลาในการทำหัตถการสั้น (ประมาณ 15-20 นาที) และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียวกัน
ย้อนกลับได้ : สามารถถอดท่อและอุปกรณ์ออกได้หากไม่ต้องการใช้แล้ว
ลดน้ำหนักได้อย่างมีนัยสำคัญ: ช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างเข้มข้นเพียงอย่างเดียว
ช่วยให้ควบคุมพฤติกรรมการกินได้ดีขึ้น: ผู้ป่วยบางรายรายงานว่ารู้สึกควบคุมการกินได้ดีขึ้นและหิวน้อยลง
ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากหรือมีข้อจำกัดในการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร
ข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น:
ผลข้างเคียงบริเวณจุดที่ติดตั้งท่อ:
รู้สึกไม่สบาย/ปวดบริเวณหน้าท้อง (โดยเฉพาะช่วง 4 สัปดาห์แรกหลังการติดตั้ง)
ระคายเคืองผิวหนังรอบท่อ
มีเลือดออกเล็กน้อยรอบท่อ
ติดเชื้อบริเวณท่อ
อาจเกิดรูรั่ว (fistula) หลังถอดท่อ
ผลข้างเคียงทั่วไป:
ท้องอืด, มีแก๊ส, เรอ, ตะคริว
ท้องผูกหรือท้องเสีย
คลื่นไส้และ/หรืออาเจียน
ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
เจ็บคอหลังการติดตั้งท่อ
เบื่ออาหาร
หายใจลำบาก (พบได้น้อย)
นอนไม่หลับ (พบได้น้อย)
การดูแลรักษาต่อเนื่อง: อุปกรณ์จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาตลอดชีวิต และผู้ป่วยอาจต้องไปพบแพทย์บ่อยกว่าวิธีลดน้ำหนักอื่น ๆ
ค่าใช้จ่าย: มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเปลี่ยนอุปกรณ์และการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง
ข้อกังวล: เคยมีความกังวลว่าวิธีนี้อาจนำไปสู่พฤติกรรมการกินผิดปกติ เช่น โรคบูลิเมีย (Binge Eating Syndrome หรือ Bulimia) อย่างไรก็ตาม การศึกษาเบื้องต้นพบว่าผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้กลับรู้สึกควบคุมการกินได้ดีขึ้น
ข้อควรระวัง:
การใช้ Aspiration Therapy ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการประเมินความเหมาะสมของผู้ป่วยอย่างละเอียด รวมถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง
การบำบัดด้วยการดูดเสมหะถือเป็นการพัฒนาที่มีแนวโน้มดีในการต่อสู้กับโรคอ้วน โดยการผสมผสานเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ากับการสนับสนุนด้านพฤติกรรม ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้โดยไม่ต้องผ่าตัด มีประสิทธิผล และยั่งยืน สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการลดน้ำหนัก การบำบัดด้วยการดูดเสมหะอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เปลี่ยนชีวิตได้ ซึ่งควรปรึกษาผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ